green and brown plant on water

กสิณธาตุ 4 ปรับโลกธาตุ

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2568

เรื่อง กสิณธาตุ 4 ปรับโลกธาตุ

โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกาย ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดปล่อยความเกาะ ความยึด ผัสสะที่เชื่อมโยงกับขันธ์ 5 ร่างกาย ผ่อนคลายปล่อยวาง ตัดร่างกายเข้าสู่ความสงบปล่อยวาง ทรงสภาวะที่จิตเข้าถึงความสงบจากการปล่อยวาง ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะธรรมไว้ เมื่อปล่อยวางร่างกายแล้ว เราก็มากำหนดเรารู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจตลอดสายตลอดทั้งกองลม หาก ลมหายใจของเราเข้าสู่สภาวะที่มีความละเอียด มีความเบา มีความสงบระงับ เราก็กำหนดรู้อยู่ สติกำหนดรู้ในลมหายใจละเอียด ลมหายใจที่มีอารมณ์สบาย ทรงสภาวะที่จิตจดจ่อประคับประคองอยู่กับลมหายใจสบาย ประคองจิตประคองสติ กำหนดรู้อยู่ในอานาปานสติ กำหนดรู้ในความสบาย สภาวะที่จิตคลายจากนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับลมหายใจที่สงบระงับเบา เมื่อประคองอารมณ์ความสงบ จนมีความราบรื่นตั้งมั่นได้แล้ว ลำดับต่อไปเราก็เดินจิตเข้าสู่สมถะที่สูงขึ้น คือสมถะสมาธิจากกสิณ

กำหนดกสิณจิต กำหนดจินตภาพเห็นจิตเป็นดวงแก้วสว่างใส จากจิตที่เป็นดวงแก้วสว่างใส ก็กำหนดต่อไป ดวงแก้วที่ใสกลายเป็นเพชร ที่มีการเจียระไนละเอียด ระยิบระยับแพรวพราว จิตเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับ มีเส้นแสงรัศมีแผ่ออกโดยรอบ พ้นเลยขอบเขตของเส้นแสงรัศมีของจิตก็ปรากฏชั้นบรรยากาศที่มีความพรั่งพรายคล้ายกากเพชรโปรยปรายรายรอบระยิบระยับ กำหนดทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง กำหนดรู้ ว่าเราทรงอารมณ์ในปฏิภาคนิมิต จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ กสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิต จิตประภัสสรมีความสว่างไสว ทรงสภาวะที่จิตเป็นประภัสสรนั้นไว้ พร้อมกับกระแสความรู้สึกที่รัศมีคลื่นที่แผ่ออกไปจากจิต เป็นกระแสคลื่นจากเมตตาอันไม่มีประมาณ จิตประภัสสรเปี่ยมพลัง ทรงสภาวะด้วยจิตอันเป็นสุข ยิ่งจิตมีความสวยงามระยิบระยับแพรวพราวเพียงใด จิตยิ่งมีความสุข ยิ่งมีกำลังความอิ่มเอมจากภายใน มีความปิติสุขหล่อเลี้ยงจากภายใน จึงกลายเป็นแสงสว่าง กลายเป็นความผ่องใส มีกระแสบุญหล่อเลี้ยงจิต จิตจึงมีรัศมีสว่าง ทรงสภาวะที่จิตของเราอิ่มบุญ แผ่สว่างเป็นประภัสสร เปี่ยมไปด้วยความผ่องใส ทรงสภาวะไว้ ช่วงที่ทรงสภาวะทรงอารมณ์ เป็นการฝึกฝนเพื่อให้เกิดวสี สามารถทรงฌาน ทรงสมาบัติได้อย่างราบรื่นมีเสถียรภาพ มีความตั้งมั่น ทรงสภาวะไว้ เกิดเป็นกำลังจิตตานุภาพ เมื่อจิตของเราเข้าถึงความผ่องใส ถึงความประภัสสรแล้ว อารมณ์จิตทรงตัวดีแล้ว ลำดับต่อไปเราก็น้อมจิตรำลึกถึงพระพุทธเจ้า

ตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดน้อมนึกถึงพระรูปพระโฉมของพระพุทธองค์ ขอเสด็จมาปรากฏอยู่เหนือกระหม่อมจอมขวัญ อยู่ภายในศีรษะ อยู่ภายในกายของเรา ตั้งจิตอธิษฐานเป็นองค์พระ 3 ฐาน องค์พระสว่างไสวแพรวพราว ตั้งจิตว่า เราอาราธนาพุทธานุภาพ กำลังพุทธคุณ พุทธบารมีของพระพุทธเจ้ามาสถิตรักษาอยู่ในจิต วันนี้เราจะฝึกในเรื่องของการฝึกในกสิณธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ นะ มะ พะ ทะ ตรงจุดนี้เนื่องจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนตุลาคมที่จะถึง ที่เราผ่านเข้ามาจนถึงวันที่ 5 แล้ว เป็นช่วงเวลาที่เริ่มเกิดภัยพิบัติมากขึ้น โลกธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มีความแปรปรวน เกิดภัยพิบัติรวมถึงกระแสจิต ความคิด กระแสวิบาก กระแสกรรม มวลรวมที่ปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ ทำให้เกิดอารมณ์จิตของผู้คนที่แปรปรวนผิดปกติ เกิดการทำร้ายกัน เกิดอุบัติเหตุที่แปลกๆ เกิดความคิดความไม่ยั้งคิด การทำร้ายกันมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจุดนี้เป็นการฝึกเพื่อให้ผู้ที่มาปฏิบัติมีกำลังของธาตุทั้ง 4 มีกำลังบุญของพ่อธาตุ แม่ธาตุทั้ง 4 มาคุ้มครองให้รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพายุฝน ลมพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม หลุมยุบทั้งหลาย สินามิทั้งหลาย เหตุการณ์เพลิงไหม้ทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นผิดปกติ เมื่อเรากำหนดรู้ เราก็ตั้งใจฝึกเพื่อให้เกิดกำลังของธาตุทั้ง 4 คุ้มครอง รวมทั้งเป็นการปรับธาตุในขันธ์ 5 ร่างกายของเราเอง

ในช่วงแรกนี้ก็จะเป็นการฝึกโดยเป็นภาคที่เกี่ยวเนื่องกับกายเนื้อ เราฝึกโดยจิตโยงกับกายอยู่ในภาคของมนุษย์คืออยู่บนโลกมนุษย์ ยังไม่ได้ยกจิตออกไป เริ่มต้นก็กำหนดว่าเราทรงภาพพระ 3 ฐาน ขอพระบรมครูมาประสิทธิ์ประสาท ตั้งจิตอธิษฐาน ขอครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาประสิทธิ์ประสาททั้งท่านที่เป็นพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์เจ้า นับตั้งแต่อดีตกาล รวมไปถึงท่านที่เป็นพ่อปู่ฤาษี คนธรรพ์ วิทยาธร ท่านที่ทรงอภิญญาสมาบัติ นับตั้งแต่อดีตกาล เคยเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนเรามาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขอให้ท่านเมตตามาปรากฏประสิทธิ์ประสาท มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มีหลวงพ่อฤาษีฯ พระราชพรหมยานเป็นที่สุด เมื่อตั้งจิตรำลึกนึกถึงครูบาอาจารย์แล้ว

 ลำดับต่อไป ก็ตั้งจิตให้เกิดดวงแก้วขึ้นภายในท้องของเรา ตั้งจิตอธิษฐาน ขอดวงจิตที่เราฝึกเป็นดวงกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต อธิษฐานขอจำเพาะเจาะจงโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุทั้ง 4 อันเป็นบาทฐานของอภิญญาสมาบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉฬภิญโญหรืออภิญญา 6 ขึ้นไป เมื่ออธิษฐานแล้วก็ตั้งจิต ขอให้เกิดดวงแก้วภายในกึ่งกลางบริเวณท้องของเรา ที่เรียกว่าตันเถียน ใต้สะดือลงมา 2 นิ้ว อธิษฐาน

  • ขอให้เกิดดวงแก้ว ภายในดวงแก้วนั้นเป็นเนื้อของธาตุดินทั้งหมด ธาตุดินปรากฏอยู่ภายในกายที่ศูนย์กลางกายของเราสว่าง จากนั้นกำหนดจิต จากมวลที่เป็นก้อนดิน เป็นทรงกลมจงปรากฏเป็นดวงแก้วสว่างขึ้น เป็นอุคคหนิมิต จากดวงแก้วสว่างจนแสงสว่างนั้น พ้นทะลุกายเนื้อของเรา จากอุคคหนิมิต จงปรากฏเป็นปฏิภาคนิมิต คือเป็นเพชรประภัสสรสว่าง ธาตุดินจงกลายเป็นปฏิภาคนิมิต ส่องสว่างและน้อมนำเหนี่ยวนำให้ธาตุดินทั่วกายของเรา เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วน ที่เป็นธาตุดิน จงกลายเป็นเพชรประกายพรึกทั้งกาย จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน จิตจดจ่อปักตั้งมั่นอยู่กับดวงนิมิตธาตุดินที่เป็นปฏิภาคนิมิตเป็นเพชร
  • ภาวนาบริกรรมอธิษฐาน ปฐวีกสิณัง ธาตุดินของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์
  • จากนั้นกำหนดจิต ปั่นธาตุ เห็นจิต ธาตุดินที่เป็นปฏิภาคนิมิต หมุนตามเข็มนาฬิกา หมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้นสว่างขึ้น เป็นเพชรประภัสสร หมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น กำหนดจิตจดจ่ออยู่กับธาตุดิน ตั้งธาตุเสร็จ ปั่นธาตุ ทรงสภาวะที่ธาตุดินปฏิภาคนิมิต หมุนปั่นด้วยความเร็วราวกับจักรผัน ทรงสภาวะไว้ ภาวนาบริกรรม ปฐวีกสิณัง ธาตุดินของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ ยิ่งหมุนเร็ว ยิ่งสว่าง ยิ่งสว่าง ยิ่งเปี่ยมพลัง
  • จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน หยุดจิต นิ่งหยุด ตั้งมั่น ปฏิภาคนิมิตนั้นประภัสสรสว่าง อธิษฐานจิต เห็นกสิณธาตุดินนั้นขยายใหญ่จนคลุมจักรวาลทั้งหมด
  • จากนั้นย่อเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับกำปั้น ทรงสภาวะไว้ภายในศูนย์กลางกาย บริเวณตันเถียนฐานที่ตั้งของจิต
  • จากนั้นกำหนดจิตเพิกกสิณดินออกไป

อธิษฐานขอให้

  • ปรากฏมวลน้ำเป็นทรงกลมอยู่ภายในศูนย์กลางกายของเรา
  • กำหนดความรู้สึกคุณสมบัติแห่งความเป็นธาตุน้ำ มีการไหล มีการกระเพื่อมกระฉอก มีอาการชื้นเปียก มีอาการชุ่มเย็น กำหนดจิตในความเป็นธาตุน้ำอยู่ที่ศูนย์กลางกาย รู้สึกถึงความเป็นน้ำอยู่อย่างชัดเจน
  • จากนั้นกำหนดให้ดวงกสิณของธาตุน้ำกลายเป็นอุคคหนิมิต คือกลายเป็นดวงแก้วใสสว่างของธาตุน้ำ สว่างขึ้น ใสขึ้นจากนั้นกำหนดจิตต่อไป จากธาตุน้ำที่เป็นอุคคหนิมิต ขอจงปรากฏกลายเป็นปฏิภาคนิมิต กลายเป็นเพชรสว่างใสรัศมีแผ่สว่างกระจาย น้อมนำ เหนี่ยวนำจนกระทั่งธาตุน้ำทั่วร่างกายของเรา น้ำที่เป็นโลหิต ที่เป็นน้ำลาย ที่เป็นปัสสาวะ ที่เป็นน้ำเหลือง ที่เป็นไขมันเหลวทั้งหลาย เซลล์แห่งชาติน้ำ อนู อนุภาคแห่งธาตุน้ำทั่วร่างกายกลายเป็นเพชร กลายเป็นปฏิภาคนิมิตทั้งหมด แสงสว่างแห่งปฏิภาคนิมิตของธาตุน้ำ ส่องสว่างทะลุขันธ์ 5 ร่างกายเหนี่ยวนำให้เซลล์ทุกเซลล์ที่มีธาตุน้ำ กลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง
  • ใจเอิบอิ่มผ่องใสพร้อมกับภาวนาบริกรรม อาโปกสิณัง ธาตุน้ำของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ อาโปกสิณัง ธาตุน้ำของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์
  • จากนั้นกำหนดจิต ปั่นธาตุ เห็นกสิณน้ำหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วยิ่งยวดอย่างยิ่ง ยิ่งหมุนรวดเร็วเท่าไหร่ แสงสว่างยิ่งเพิ่มพูนขึ้น กำลังยิ่งเพิ่มขึ้น ความสว่าง ความผ่องใสความเปี่ยมพลังยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ภาวนาบริกรรม อาโปกสิณัง ธาตุน้ำของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ ทรงสภาวะในการปั่นธาตุไว้
  • จากนั้นหยุดจิต เมื่อหยุดจิตแล้ว หยุดการหมุน จากนั้นขยายขนาดของกสิณน้ำ ขยายใหญ่ครอบคลุมทั่วโลกทั่วจักรวาล เมื่อขยายจนถึงที่สุด
  • ย่อเล็กลงมาจนกระทั่งเหลือเท่ากับกำปั้นอยู่ที่ศูนย์กลางกายเป็นเพชรประกายพรึกเหมือนเดิม นิ่งหยุด
  • จากนั้นเพิกเอากสิณของธาตุน้ำออกไป

กำหนดจิตต่อไปให้

  • เห็นเป็นมวลของลม หมุนอยู่ภายในศูนย์กลางกาย รู้สึกถึงการพัดพาของลมรู้สึกถึงความหมุนของลม รู้สึกถึงกำลังการผลักดันของลม กระแสลมที่ปรากฏชึ้น คือความเบา การผลักการพัดพา การหมุนของลม การพัดพาของลมปรากฏชัด เมื่อกำหนดนิมิตในกสิณลมชัดเจนแล้ว
  • เราก็กำหนดให้กสิณลมจงปรากฏ กลายเป็นอุคคหนิมิต การพัดพาของลม มวลของกสิณลมนั้นกลายเป็นแก้วใสสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งใส ยิ่งใสยิ่งเห็นการพัดพาชัดเจน จากอุคคหนิมิต กำหนดนิมิตต่อไปให้กลายเป็นปฏิภาคนิมิต ให้กสิณลมนั้นกลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง มีการพัดพาอยู่ภายใน มีพลัง การผลัก การขับเคลื่อนอยู่ภายใน จากนั้นกำหนดจิตต่อไป กำหนดให้แสงสว่างความเป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณลมแผ่ขยายสว่างทะลุกายขันธ์ 5 จนรู้สึกได้ว่าธาตุลมในกายของเรา อันได้แก่ ธาตุแห่งการหายใจก็คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่พัดขึ้น ลมที่พัดลงด้านล่าง ลมปราณทั้งหลายทั่วขันธ์ 5 ร่างกาย มีพลังของกสิณลมเต็มเปี่ยม จากนั้นกำหนดจิตให้เห็นกสิณลมนั้น มีการหมุน หมุนรวดเร็วราวกับจักรผัน หมุนเร็วยิ่งกว่า พายุที่มีความเร็วสูงที่สุด
  • กำหนดจิต บริกรรม วาโยกสิณัง ธาตุลมของข้าพเจ้า มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ วาโยกสิณัง ธาตุลมของข้าพเจ้า มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ วาโยกสิณัง ธาตุลมของข้าพเจ้า มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์
  • จากนั้นยิ่งกำหนดจิต ปั่นธาตุลมที่เป็นปฏิภาคนิมิตให้หมุนเร็วขึ้น ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งเปี่ยมพลังขึ้น ทรงสภาวะที่จิตปั่นธาตุลมวาโยนั้น ทรงสภาวะแห่งความเป็นเพชรประกายพรึกของธาตุลม
  • จากนั้นหยุดจิต นิ่งหยุด ทำความรู้สึกว่าเป็นประดุจลมที่ไม่ไหวติง เมื่อหยุดจนนิ่งหยุดเต็มที่
  • กำหนดขยายให้ลมนั้น เกิดการขยายตัวจนคลุมจักรวาลทั้งหมด มีลมพัดพายุทั่วจักรวาล
  • จากนั้นย่อเล็กลงมาให้ดวงประกายพรึก แห่งกสิณลมนั้น ย่อเล็กกลับลงมาเหลือแค่กำปั้น อยู่บริเวณศูนย์กลางกายของเรา บริเวณฐานที่ตั้งของจิต ทรงสภาวะไว้
  • จากนั้นกำหนดเพิกให้กสิณลมนั้นหายไป

มากำหนดเป็น

  • ก้อนดวงของเปลวไฟ กองไฟ ลูกไฟ อยู่ภายในท้องของเรา รู้สึกสัมผัสได้ถึงความสว่างของเปลวไฟ รู้สึกถึงความร้อน การแผ่รังสีความร้อนแรง แรงแผดเผาไหม้ของเปลวไฟอยู่ภายในท้องของเรา
  • จากนั้นกำหนดให้ธาตุไฟนี้จงปรากฏเป็นอุคคหนิมิตคือเป็นดวงแก้วใสสว่าง ยิ่งสว่างอย่างยิ่ง จากนั้นกำหนดจากอุคคหนิมิตของกสิณไฟ ขอจงปรากฏขึ้นเป็นปฏิภาคนิมิต ดวงไฟนั้นจงปรากฏความเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งเจิดจ้า ยิ่งเปี่ยมพลัง
  • และกำหนดให้แสงสว่างขยายขอบเขตความสว่างทะลุกายขันธ์ 5 นี้ เหนี่ยวนำให้ธาตุไฟทั่วกายนี้ เกิดสภาวะเป็นเพชรประกายพรึกตามไปด้วย ธาตุไฟในการให้ความร้อนความอบอุ่นในกาย ธาตุไฟที่ปรากฏในการเผาผลาญเป็นพลังงานในกาย ธาตุไฟที่ปรากฏในการย่อยอาหารเผาผลาญอาหาร ธาตุไฟทั่วร่างกายนั้นเปี่ยมพลังขึ้น สว่างขึ้น
  • กำหนดจิตต่อไป ตั้งจิตให้ดวงแก้วที่เป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณไฟที่อยู่ภายในกายของเรานั้น หมุนด้วยความเร็ว ยิ่งหมุนเร็วยิ่งปรากฏเปลวไฟคลุมโดยรอบเพิ่มขึ้น
  • ภาวนา เตโชกสิณัง ธาตุไฟของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ เตโชกสิณัง ธาตุไฟของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ เตโชกสิณัง ธาตุไฟของข้าพเจ้า มีกำลัง  มีเดช มีฤทธิ์
  • จากนั้นกำหนดปั่นธาตุ ปั่นให้ธาตุไฟที่เป็นปฏิภาคนิมิตมีความเร็วอย่างยิ่งยวด มีคลื่นพลังงานความร้อนแผ่กระจายออกมาโดยรอบกาย
  • จากนั้นอธิษฐานจิต นิ่งหยุดในธาตุไฟ เมื่อหยุดนิ่งได้แล้วก็กำหนดให้เกิดปฏิภาคนิมิตของกสิณไฟขยายคลุมจักรวาลทั้งหมด เมื่อขยายคลุมจักรวาลทั้งหมดได้แล้ว
  • ก็กำหนดน้อมย่อเล็กกลับมา รวมตัวอยู่ที่ท้องน้อยตันเถียนของเรา

จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐานขอให้ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ  ลม ไฟ จงตั้งอยู่ภายในกายของเรา บริเวณตำแหน่งศูนย์กลางกาย กำหนดเป็นรูปกากบาท

  • ทางด้านหน้าจงวางธาตุปรากฏเป็นธาตุดิน
  • ทางขวาเป็นธาตุน้ำ
  • ทางด้านหลังเป็นธาตุลม
  • ทางด้านซ้ายเป็นธาตุไฟ

จากนั้นกำหนดว่าตำแหน่งธาตุทั้งสี่นั้น หมุนโคจรรอบศูนย์กลางกาย หมุนปั่น ปั่นธาตุ รวมธาตุ หมุนด้วยความเร็วสูงสุด กำหนดบริกรรม นะมะพะทะ นะมะพะทะ ธาตุทั้ง 4 หมุนรวมไป นะมะพะทะ นะมะพะทะ รวมไป รวมไป จนกระทั่งธาตุทั้ง 4 นั้นปรากฏรวมเป็นดวงเดียวกัน อยู่ภายในศูนย์กลางกายของเรา

กำหนดจิตให้เห็นเป็นปฏิภาคนิมิต สว่างอย่างยิ่ง กำหนดตั้งจิต วางธาตุ ตั้งธาตุ ในกายขันธ์ 5 ขอพระพุทธองค์ ขอแรงครูบาอาจารย์มาประสิทธิ์ประสาทการปลุกธาตุ รวมธาตุ ตั้งธาตุนี้ ขอกำลังธาตุทั้ง 4 จงเป็นอภิญญาสมาบัติ ขอจิตข้าพเจ้า จงมีจิตตานุภาพอยู่เหนือธาตุทั้ง 4  กำหนดใช้พลิกแพลง เปลี่ยนธาตุ แปลงธาตุ ตั้งธาตุในทุกสิ่งทุกอย่างจนเกิดผลเป็นอภิญญาใหญ่ กำหนดจิตเห็นธาตุที่รวม นะมะพะทะเป็นเพชรประกายพรึกอยู่ภายในศูนย์กลางกายของเรา เมื่อภาวนา นะมะพะทะ แล้วคราวนี้ก็กำหนดว่า จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ กสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิต

จากนั้นกำหนดว่า ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ กำลังครูบาอาจารย์ กำลังพุทธานุภาพ พุทธคุณเป็นที่สุด ด้วยกำลังแห่งอภิญญาสมาบัตินี้ ขอจงยกจิต กายทิพย์ข้าพเจ้า ขึ้นไปด้วยพลังของอภิญญา ดีดให้ดวงกสิณจิตนั้นพุ่งขึ้นไป ทะลุท้องฟ้า ทะลุจักรวาล ทะลุภพสวรรค์ ทะลุภพภูมิพรหม ทะลุภพแห่งอรูปพรหม จนไปปรากฏอยู่บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตให้ดวงจิตที่เป็นทรงกลมนั้น จงปรากฏแปลงสภาพเปลี่ยนรูปจากดวงแก้วดวงจิต เป็นสภาวะแห่งอาทิสมานกาย คือเป็นกายทิพย์ เป็นกายพระวิสุทธิเทพปรากฏบนพระนิพพาน อธิษฐานจิตขอกายพระวิสุทธิเทพจงสว่างไสว แพรวพราวเป็นเพชรประกายพรึกสว่างชัดเจน

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขออาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ปรากฏ กำหนดให้กายพระวิสุทธิเทพของเรา กราบทุกท่านทุกๆพระองค์ เมื่อกราบรวมลงแล้วก็อธิษฐานจิตต่อไป ขอให้กายพระวิสุทธิเทพจงปรากฏ นั่งขัดสมาธิอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว นั่งขัดสมาธิพร้อมกับยกฝ่ามือทั้งสองขึ้น เหมือนประนมมือ แต่แยกห่างจากกัน จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ระหว่างฝ่ามือของกายพระวิสุทธิเทพ

  • ขอจงปรากฏเป็นดิน กสิณดินจงปรากฏระหว่างฝ่ามือของกายพระวิสุทธิเทพนั้น จากดินกลายเป็นแก้วใส จากแก้วใสกลายเป็นเพชรประกาย ตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดน้อมว่า ภาคของกายทิพย์ที่เรายกจิตขึ้นมา เดินจิตในกสิณธาตุทั้ง 4  อธิษฐานว่าด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ด้วยอำนาจของอภิญญา ข้าพเจ้าขอตั้งจิตใช้กำลังพระกรรมฐานยังประโยชน์ในการปรับสมดุลแห่งธาตุทั้ง 4 ปรับสมดุลของโลกธาตุให้กับฟื้นคืนมาเป็นปกติ จากนั้นกำหนดให้กสิณดินเป็นแก้วใส แก้วใสเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง อธิษฐานจิต ปฐวีกสิณัง ธาตุดินของโลกของจักรวาล มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีความสมบูรณ์สมดุล
  • จากนั้นอธิษฐานจิต ปรากฏเป็นมวลน้ำเป็นกสิณน้ำ มวลน้ำอยู่ใจกลางฝ่ามือ บังคับควบคุมได้ ภาวนาบริกรรม ปรากฏว่ากสิณน้ำ จากมวลน้ำกลายเป็นดวงแก้วใส จากดวงแก้วใสอุคคหนิมิตปรากฏเป็นเพชรประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณน้ำ ภาวนาบริกรรม อาโปกสิณัง ธาตุน้ำมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีความสมบูรณ์ มีความสมดุล มีความพอเหมาะพอดี
  • จากนั้นกำหนดจิตต่อไป อธิษฐานจิต กำหนดจงปรากฏเป็นมวลอากาศอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างของกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจากมวลของลม บรรยากาศของลม ที่อยู่ใจกลางฝ่ามือ ขอจงปรากฏเป็นอุคคหนิมิต ขอกสิณลมเป็นดวงแก้วสว่าง จากดวงแก้วสว่าง อุคคหนิมิตจงปรากฏเป็นปฏิภาคนิมิต คือเป็นเพชรประกายพรึกของกสิณลม ภาวนาบริกรรม วาโยกสิณัง ธาตุลมมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีความสมบูรณ์ มีความสมดุล  มีความพอเหมาะพอดี
  • กำหนดจิตต่อไป ให้เห็นใจกลางฝ่ามือนั้นกลายเป็นเปลวไฟ กลายเป็นธาตุไฟ มีสายฟ้าปรากฏอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ จะเป็นเปลวไฟ จะเป็นไฟฟ้า จะเป็นกระแสไฟฟ้า จะเป็นพลังงานทั้งหลาย ก็จงปรากฏอยู่ในรูปของเปลวไฟที่ปรากฎใจกลางฝ่ามือ ระหว่างฝ่ามือของกายพระวิสุทธิเทพนี้อธิษฐานจิตต่อไป เปลวไฟธาตุไฟทั้งหลายจงปรากฏอุคคหนิมิต คือเป็นดวงแก้วสว่างใสขึ้นสว่างขึ้น จากอุคคหนิมิตในธาตุไฟจงปรากฏเป็นปฏิภาคนิมิตในธาตุไฟคือเป็นเพชรประกายพรึก ระยิบระยับสว่างแพรวพราว อธิษฐานจิตบริกรรม เตโชกสิณัง ธาตุไฟมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีความเหมาะสม มีความสมบูรณ์ มีความสมดุล มีความพอเหมาะพอดี มีความปลอดภัย
  • จากนั้นอธิษฐานจิตให้ธาตุทั้ง 4 มารวมตัวกัน อธิษฐานขอจงปรากฏธาตุทั้ง 4 ในภาคทิพย์ที่เราเดินจิตบนพระนิพพานนี้ เป็นกำลังปรับโลกธาตุ ให้ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟในโลก ในจักรวาลนี้มีความสมบูรณ์ มีความสมดุล มีความพอเหมาะพอดี อธิษฐานจิตให้สว่าง จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ให้เห็นโลกใบนี้ทั้งใบ เหมือนกับเราเห็นจากจักรวาล แต่คราวนี้ให้โลกนั้น มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอลอยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างของกายพระวิสุทธิเทพ โลกนี้หมุนอยู่ตามปกติ ดึงภาคทิพย์ของโลกนี้ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟของโลกนี้มาปรากฏ จากนั้นกำหนดจิตให้โลกใบนี้จากที่เห็นเป็นโลกมีสีคราม มีสีเขียว เห็นแผนที่ทั้งโลกในขณะที่โลกนี้หมุนชัดเจน อธิษฐานจิต โลกใบนี้ขอจงมีกำลังบุญกุศลมาหล่อเลี้ยง อธิษฐานจิต ขอให้ทาน ศีล ภาวนาของสาธุชนทั้งหลาย ทั้งในเขตพระพุทธศาสนาก็ดี นอกเขตพระพุทธศาสนาก็ดี ขึ้นชื่อว่ากุศลความดี เมตตาพรหมวิหาร 4 บุญใหญ่ทั้งหลาย การสร้างพระพุทธปฏิมา การถวายมหาสังฆทาน การตั้งจิตปฏิบัติเพื่อมรรคผล พระนิพพาน ศีลไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 ข้อ ความเอื้ออารี มีเมตตาของจิตทั้งหลาย ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงมาหล่อเลี้ยงโลกใบนี้ จนกลายเป็นแก้วมีความสว่าง จากดวงแก้วกลายเป็นเพชรประกายพรึก โลกใบนี้ทั้งดวงเป็นเพชรประกายพรึก มีกำลังบุญกุศลหล่อเลี้ยง อธิษฐานจิตภาวนา โลกากสิณัง ขอโลกใบนี้จงมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีความสมดุล มีกำลังบุญหล่อเลี้ยง โลกากสิณังขอโลกใบนี้จงมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีกำลังบุญหล่อเลี้ยง มีความสมดุล มีความอุดมสมบูรณ์ มีกระแสแห่งธรรม กระแสมรรคผลหล่อเลี้ยง โลกากสิณัง ขอโลกใบนี้จงมีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ ขอกระแสมรรคผลพระนิพพาน ขอกระแสบุญจงมาหล่อเลี้ยง นำพาขับเคลื่อนให้โลกใบนี้ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไล

จากนั้นกำหนดจิตว่ามือที่เราอังโลกใบนี้ค่อยๆอธิษฐานด้วยความเป็นทิพย์ กายของเราใหญ่คลุมจักรวาล ยกภาคทิพย์ที่อธิษฐานกลั่นโลกให้เป็นเพชรด้วยกำลังบุญนี้ ยกข้ามจักรวาล ข้ามภพลงมาครอบกับโลกมนุษย์นี้จริงๆ เราทุกคนช่วยกันปรับโลกธาตุ ปรับสมดุล ปรับพลังให้โลกใบนี้

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งจิตรำลึกนึกถึงบุญกุศล  ทาน ศีล ภาวนาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ตั้งจิตอธิษฐานว่า พระกรรมฐานที่เราเจริญไว้ดีแล้ว จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ตั้งจิตไว้ปรารถนา ในมรรคผลพระนิพพานของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตพิเศษจำเพาะเจาะจง น้อมถวายแด่พ่อธาตุแม่ธาตุทั้ง 4  ขอตั้งจิตอาราธนา แม่พระธรณี อาราธนาแม่พระคงคา อาราธนาพ่อพระพาย อาราธนาพ่อพระเพลิง อันเป็นพ่อธาตุแม่ ธาตุทั้งดิน น้ำ ลม  ไฟทั้งสี่นั้น ขอให้กำลังบุญกุศลข้าพเจ้าน้อมส่งถึงทั้งทุกท่านทุกๆพระองค์ และขอให้พ่อธาตุ แม่ธาตุทั้ง 4  ได้จดจำข้าพเจ้าทั้งหลาย ปกปักษ์รักษาคุ้มครองข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้ปลอดภัยจากภัย อันเกิดขึ้นจากการแปรปรวนของธาตุทั้ง 4 นี้ด้วยเถิด ไม่ว่าจะเป็นธรณีพิบัติ  แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ หลุมยุบ ทรายดูด หรือน้ำท่วม พายุที่รุนแรง พายุฝนสึนามิ หรือภัยจากการเกิดลมพายุรุนแรง เฮอริเคน ใต้ฝุ่น ลมหมุน ลมกรรโชก หรือภัยพิบัติที่ปรากฏขึ้นจากเพลิง จากไฟ จากสายฟ้า จากฟ้าผ่าทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายแคล้วคลาดปลอดภัย  จากภัยพิบัติ จากการแปรปรวน จากกระแสวิบากกรรม ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงนี้ด้วยเถิด

ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งจิตกราบไปที่พ่อธาตุแม่ธาตุทั้ง 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่พระธรณี ตั้งจิตว่าบุญกุศลทั้งหลาย เราได้หยาดน้ำ กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลในทุกบุญนับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน หรือแม้แต่กระทั่ง บุญที่เราได้กระทำบำเพ็ญแต่ได้ลืมหยาดน้ำ ลืมกรวดน้ำ ลืมอธิษฐาน ก็ขอให้แม่พระธรณี แม่พระคงคา เป็นพยาน สะสมผลบุญของข้าพเจ้าทุกคน ทุกท่าน ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกชาติภพ รวมไว้ที่มุ่นมวยผมของแม่ และขอให้บุญทั้งหลาย แม่พระธรณีได้เป็นพยานในการบุญของข้าพเจ้า เป็นพยานในการกุศลทุกประการด้วยเทอญ ให้เราน้อมจิตดูนะ ท่านโมทนาสาธุไหม เมื่อท่านโมทนาสาธุแล้ว ก็ให้เราตั้งกำลังใจ นับแต่นี้หากไม่เกินกฎของกรรม พระพุทธองค์ก็ดี พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เทพพรหมทั้งหลาย เทพยดาทั้งหลาย พ่อธาตุแม่ธาตุทั้งหลาย ท่านก็สามารถที่จะปกปักษ์รักษาคุ้มครองเราให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงได้ รวมถึงกุศลที่เราได้ทำ เจริญพระกรรมฐานเพื่อส่วนรวม ปรับกำลังของธาตุทั้ง 4 ปรับกำลังของโลกธาตุ ปรับด้วยกำลังของบุญช่วยโลกใบนี้ ก็ให้เราสังเกตว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นภัยพิบัติก็จะคลายตัวลง อันที่จริงก็เริ่มคลายตัวตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ที่เมื่อวานในห้องครูเมตตาสมาธิก็ได้เจริญพระกรรมฐานปรับแดนโลกธาตุไปรอบหนึ่งแล้ว วันนี้ก็จะเห็นว่า จากพายุที่หนักของเมื่อวานตอนกลางวัน ก็คลายตัวลง วันนี้ก็ไม่เกิด เดี๋ยวพอวันนี้เราได้ร่วมกันเจริญพระกรรมฐานพิเศษ ปรับโลกธาตุ เหตุการณ์ก็จะเบาบางลงบ้าง คลี่คลายบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่เรา ได้ร่วมกันเจริญพระกรรมฐาน บริเวณใกล้เคียงรอบข้างของคนที่เจริญพระกรรมฐานในวันนี้ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย แต่เขตอื่น บริเวณอื่น หากยังอยู่ในวาระที่คนที่เขามีกรรมร่วม ที่มีวิบาก ที่จะต้องโดน จะต้องประสบ ตรงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นเป็นไปตามกฎของกรรม ส่วนพวกเราที่ได้เจริญพระกรรมฐาน ตรงนี้ก็จะมีการเบาบางหรือคลายตัวไป ให้เราลองสังเกตนะ

คราวนี้เมื่อเราเจริญจิตขึ้นมาแล้ว เราได้พิจารณาปรับโลกธาตุแล้ว เราก็เจริญวิปัสสนาจากโลกธาตุนี่แหละ ให้เห็นความแปรปรวน ความไม่เที่ยงของโลก ของจักรวาล โลกนี้มันมีความแปรปรวนเป็นปกติ พื้นที่เคยเป็นแผ่นดิน เวลาผ่านไปร้อยปีพันปี มันก็อาจจะยุบกลายเป็นภูผา กลายเป็นหุบเหว หรือแม้แต่กลายเป็นกระทั่งถูกน้ำมาซัด ทะเลเข้ามาแทรกจนกลายเป็นมหาสมุทรเลยก็ได้ หรือความแปรปรวนของอากาศ ปกติอากาศเป็นปกติธรรมดา ก็มีความแปรปรวนกลายเป็นพายุได้ ดินแดนที่ปกติเขียวชะอุ่มก็อาจจะมีเปลวไฟป่า มาเผาผลาญ รวมความว่าทุกสรรพสิ่งมีความไม่เที่ยง หรือแม้แต่ที่สุด ถึงยุคที่สิ้นเขตพระพุทธศาสนา จนถึงยุคที่สิ้นโลก เกิดไฟประลัยกัลป์ เกิดดวงอาทิตย์ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละดวง เพิ่มขึ้นจาก 1 ดวงกลายเป็น 2 ดวง จนเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น 7 ดวง เกิดความร้อนแรงของดวงอาทิตย์สูงมากขึ้น จนเกิดไฟประลัยกัลป์ เผาโลกทั้งดวงให้สลายตัวไปในที่สุด สัตว์โลกทั้งหลายก็ตายไปจนหมด เริ่มต้นใหม่ ก่อเกิดดวงดาวใหม่

ดังนั้นเมื่อเราเห็นความไม่เที่ยง เมื่อเราเห็นว่ามันมีภัยในสังสารวัฏ  ภัยในสังสารวัฏ ก็คือการที่เราเวียนว่ายตายเกิด คือภัยพิบัติใหญ่ ไม่ว่าเราจะหนีรอดจากภัยพิบัติในชาตินี้ไปได้ หนีพายุ สร้างบ้าน สร้างที่หลบภัยไปได้ แต่ตราบที่เรายังหนีรอดไปได้ ถึงเวลาถ้าเรายังเกิด เราก็เจอภัยพิบัติครั้งใหม่ เจอศึกสงครามครั้งใหม่ เจอความแปรปรวนทางธรรมชาติครั้งใหม่ เพราะโลกก็เป็นเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือเราไปพระนิพพาน ดังนั้นการที่เราพิจารณาเรื่องธาตุทั้ง 4 พิจารณาเรื่องการปรับแก้ในโลกธาตุ เราก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เห็นธรรม เห็นคุณของพระนิพพานให้ปรากฏ พิจารณาดูว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงปรากฏ มาโปรดสรรพสัตว์กี่พระองค์แล้ว แต่เราก็ยังไม่ไปนิพพาน ตอนนี้เราปฏิบัติจนกระทั่ง เราสามารถยกจิตขึ้นมาพบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้แล้ว ตามคำสอนที่หลวงพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติ แต่ถ้าเรายังไม่เอาดี ก็คือยังไม่ไปพระนิพพานให้ได้ หากเกิดชาติภพต่อๆไป เราไม่เจอหลวงพ่อ เราไม่เจอพระพุทธเจ้า เราไม่เจอพระพุทธศาสนา เราไม่เจอครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เราไม่เจอกัลยาณมิตร เราก็อาจจะต้องเสียเวลาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เวียนว่ายตายเกิดไปอีก หรือแม้แต่จิตทั้งหลายอีกมากมายที่มีโอกาสมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว แต่ก็ปรามาสบ้าง มีจิตที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาบ้าง หรือปฏิบัติแล้ว บังเอิญปฏิบัติกับครูผู้สอนที่บังเอิญเป็นอลัชชี หรือพบครูผู้สอนแต่ก็ยังสอนให้นิพพานนั้นเนิ่นช้าไป หรือมาเจอพบกับครูผู้สอนที่ท่านสอนตรง แต่บุคคลนั้นกลับไม่มีความเพียร เกิดไม่เห็นคุณค่า ดังนั้นเราก็จะเห็นได้ว่า บุคคลที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานนั้น มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผู้ที่หลุดออกไปจากกระแสมรรคผลพระนิพพานนั้นมีมากยิ่งกว่ามาก หรือแม้แต่บุคคลอีกมากมาย ที่เราอาจจะเคยพบเจอ เคยฝึกเคยปฏิบัติจนกระทั่งได้ความเป็นทิพย์ ได้ญาณเครื่องรู้ ได้มโนมยิทธิแล้ว แต่ก็ทำให้เสื่อม ทำให้สูญ หลุดออกไปจากเส้นทางแห่งความดี กลายเป็นโมฆะบุรุษก็เป็นจำนวนมาก เราก็พิจารณาว่า เราจะไม่เอาแบบนั้น เราได้เจอหลวงพ่อ เราได้พบพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว เราจะปฏิบัติตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน

กำหนดน้อมจิต อธิษฐานอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม ว่าจิตของเรานั้นเห็นคุณค่าของพระนิพพาน เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยพิบัติความแปรปรวนที่เกิดขึ้นกับโลก เห็นทุกข์เพื่อปลีกออกจากความทุกข์ เห็นทุกข์เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ขอท่านทั้งหลายบนพระนิพพานนี้ ได้เมตตาเกื้อกูลสงเคราะห์ข้าพเจ้า ขออนุญาตให้ข้าพเจ้ายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ให้มาก ให้บ่อย ให้นานมากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้ด้วยเถิด

จากนั้น กำหนดจิตอธิษฐาน ขออาราธนากระแสพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กระแสบุญทั้งหลายของทุกท่าน ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน เราน้อมจิตเป็นตัวแทนแผ่เมตตาลงมาจากพระนิพพาน แผ่กระแสบุญกุศล ความเมตตา ความปรารถนาดี

  • แผ่ลงมายังบรรดาอรูปพรหมทั้งหลายทั้ง 4 ภพ
  • แผ่เมตตาลงมายังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น
  • แผ่เมตตาลงมายังสวรรค์ อากาศเทวดาทั้ง 6
  • แผ่เมตตาลงมายังรุกขเทวดา ภุมมเทวดาทั่วจักรวาล
  • แผ่เมตตาลงมายังภพกลางคือมนุษย์และสัตว์ที่มีกายสังขาร กายขันธ์ 5 มีกายหยาบทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว
  • แผ่เมตตาต่อไปยังภพของโอปปาติกะ สัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณ ชาวเมืองบังบด ลับแล มิติที่ทับซ้อนทั้งหลายทั่วจักรวาล
  • แผ่เมตตาต่อไปลงไปยังภพภูมิของเปรตอสุรกายทั้งหลาย
  • แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของนรกภูมิทุกขุม ลึกที่สุดจนถึงโลกันตมหานรก

อธิษฐานจิตขออาราธนากระแสพุทธานุภาพของสมเด็จองค์ปฐม ขอเมตตาปรากฏเป็นองค์สมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาเปิด 3 ภพภูมิ ให้เข้าถึงกระแสบุญกุศล กระแสแห่งความสุข ความร่มเย็นด้วยเทอญ

จากนั้นเรากำหนดจิต อาราธนากระแสบุญทั้งหลายจากการที่เราเจริญพระกรรมฐานพิเศษในวันนี้ เป็นกำลังบุญ เป็นกำลังอภิญญาฤทธิ์ ที่พระท่านสงเคราะห์ให้เราร่วมจิตร่วมใจกันทำอภิจิตในการปรับโลกธาตุ ปรับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟในโลก ในจักรวาลให้คืนสู่สมดุล ก็ขอให้บุญกุศลนี้เป็นกระแสส่งผลลงมาคุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินบ้านเมือง ให้สุขสงบร่มเย็นสันติ มีกำลังบุญคุ้มครองนำพาให้โลกใบนี้ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไลโดยเร็ว

จากนั้นกำหนด ให้ใจเราสว่างผ่องใสที่สุด กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกๆท่าน กราบลาครูบาอาจารย์ กราบลาเทพพรหมเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จากนั้นอธิษฐาน ขอเทวดาพรหมที่ท่านเมตตาสงเคราะห์เกื้อกูลข้าพเจ้า คุ้มครองข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวดาพรหมผู้เป็นพระอริยเจ้า เทวดาพรหมผู้ทรงฤทธิ์ ที่คุ้มครองรักษาในยามที่ข้าพเจ้าเจริญพระกรรมฐาน คุ้มครองรักษา โมทนาบุญในขณะที่ข้าพเจ้าทำบุญสร้างกุศล รักษาศีล ไปวัดวาอารามทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงปรากฏให้ข้าพเจ้าเกิดญาณเครื่องรู้ กำหนดรู้และกำหนดจิตได้กราบขอบพระคุณ ได้กราบโมทนา เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตารู้คุณต่อท่านทั้งหลายด้วยเถิด กำหนดรู้ เราก็กราบท่าน กราบทุกท่าน ทุกๆพระองค์กราบด้วยความเคารพ กราบด้วยความนอบน้อม และก็ขอให้ท่านคุ้มครองรักษาให้เรามีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลก ทางธรรม แคล้วคลาดจากอุปัทวเหตุ ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง และขอให้ท่านดลจิตดลใจให้เราอยู่ในทางแห่งกุศล ดลจิตดลใจให้เราตัดสินใจในสิ่งที่ชอบ ขอให้ท่านดลจิตดลใจยับยั้งชั่งใจเรา ในยามที่เราเผลอคิดร้ายคิดลบคิดอกุศล ขอให้ท่านยับยั้งใจเรา ดลใจเรา ให้เราคิดแต่กุศล คิดแต่อยากทำบุญทำทาน คิดแต่อยากทำสมาธิ คิดแต่อยากทำความดี คิดแต่อยากให้ศีลให้พรผู้คน

จากนั้นให้เรากราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อกราบลาแล้วก็น้อมจิตพุ่งกลับลงมายังโลกมนุษย์ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมคุ้มครองกายนี้ คุ้มครองบ้านเรือนเคหะสถาน ที่เราอาศัยอยู่ให้มีความสุข มีความสวัสดี มีความเจริญรุ่งเรือง ให้กระแสบุญที่เราอธิษฐานคุ้มครองบ้านนี้ ขอให้บ้านของเราที่อยู่อาศัยของเรา ที่ทำงานธุรกิจ สินทรัพย์ทั้งหลายของเรา ปลอดภัยจากภยันอันตราย จากภัยพิบัติทั้งปวง มีเทวดารักษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

จากนั้นกำหนดจิตฟอกธรรม ฟอกธาตุธรรม ฟอกธาตุขันธ์ กระแสจากพระนิพพานส่องลงมาคลุมกาย ฟอกกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลายเป็นแก้วใส กระแสจากพระนิพพานคลุมลงมา กระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้ว กลายเป็นเพชร หลอดเลือด เส้นเอ็นสะอาดผ่องใส เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกส่วน อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทุกส่วน กลายเป็นแก้ว กลายเป็นเพชร ธาตุธรรมฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ โรคภัยไข้เจ็บสลายหายไปจนหมด เนื้องอกเซลล์มะเร็ง ซีสต์ เซลล์ที่ผิดปกติทั้งหมดสลายตัวไป มีแต่เซลล์ที่สมบูรณ์พร้อม เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เลือดลม ลมปราณโคจรราบรื่น เดินเหินคล่องแคล่ว มีกำลัง มีแรง โรคภัยไข้เจ็บสลายตัว คลายตัว ร่างกายหล่อเลี้ยงด้วยกำลังของบุญ ด้วยกำลังของกุศล วิบากทั้งหลายคลายตัวไป มีแต่ความคล่องตัวขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้น วิบากทั้งหลายจงพ้นออกไป หลุดออกไปจากชีวิต บุคคลที่เบียดเบียน บุคคลที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ขอให้ค่อยๆห่างหายไกลออกไปจากชีวิต และเราก็อโหสิกรรม ปล่อยวางให้เขาไป ให้เขาหลุดไปจากชีวิตเรา ไม่ต้องไปนึกถึง ไม่ต้องไปอาฆาต ปล่อยวาง ชีวิตมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา มีแต่กุศลเข้ามา มีแต่คนดีๆกัลยาณมิตรเข้ามารายล้อม

จากนั้นเราก็ค่อยๆโมทนาตั้งจิต โมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน เจริญอภิจิต ได้อธิษฐานจิตช่วยส่วนรวม ช่วยโลกนี้ ให้ได้บุญ ได้กุศลทุกอย่าง โมทนาบุญกับกัลยาณมิตรที่ตั้งจิตเพื่อพระนิพพาน จุดที่ปรารถนาพระนิพพานอันที่จริงก็คือบุญใหญ่ที่สุด ใครที่เรารู้จัก ใครที่อยู่ใกล้ตัวเราเขาเริ่มปรารถนาพระนิพพานนี้ถือว่าเป็นอุดมมงคล คนที่ชวนคนไปนิพพานได้นี่ก็ถือว่าบุญใหญ่อย่างยิ่ง เพราะถือว่าให้พระนิพพานสมบัติ ชี้ขุมทรัพย์ ให้อริยทรัพย์ ซึ่งมากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติของมนุษย์ หรือแม้แต่ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติทั้งปวง

จากนั้นให้หายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นถอนจิตช้าๆจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข แล้วก็อธิษฐานให้เราปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ให้เรานำพาตน นำพาชีวิตเข้าสู่ยุคชาววิไลให้ได้ทุกคน สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ช่วงสัปดาห์หน้าอาจารย์ก็เดินทางไปร่วมกับคณะของครูเกดในการถวายกฐินเป็นเจ้าภาพกฐิน เดี๋ยวจะได้ประกาศบัญชีบุญที่หากใครตั้งใจจะร่วมบุญด้วย ก็สามารถร่วมบุญร่วมกัน ในฐานะที่เราเจริญพระกรรมฐานร่วมกันในกลุ่มเมตตาสมาธิ สำหรับปีนี้ก็ขอให้เราตั้งกำลังใจดีๆจะมีวัดอีกมากมายที่ร้างกฐิน วัดอีกมากมายที่ยอดกฐินมีน้อยกว่าทุกปี เนื่องจากปัญหา 2 ส่วนคือ 1. วิกฤตศรัทธาของชาวพุทธ 2. คือเรื่องของการที่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี ดังนั้นสำหรับตัวเราเอง เวลาทำบุญก็ทำตามกำลังที่มีความเหมาะสม ที่เราไหว ที่ไม่เดือดร้อนตัวเอง ที่ไม่ทุกข์เกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ให้เราเลือกเนื้อนาบุญที่ดีเป็นหลักไว้ก่อน สำหรับคนที่ไหว เราก็ประคับประคองพระพุทธศาสนากันไป ตามกำลังที่พอทำได้ อันนี้ก็แจ้งให้ทราบไว้ก่อน เพราะสัปดาห์หน้าก็จะเป็นช่วงเริ่มเข้าสู่การออกพรรษา เทศกาลกฐินซึ่งก็เป็นช่วงที่เป็นบุญใหญ่เช่นกัน ดังนั้นก็ทำจิตให้ผ่องใสไว้ สำหรับความคืบหน้าของพระเจ้าองค์แสนฯ ในลำดับต่อไปทางช่างก็จะได้แกะแบบพิมพ์ แล้วก็จะได้อัญเชิญองค์พระมาต่อเชื่อมองค์ ขัดแต่งผิว แล้วก็อัญเชิญไปไว้ที่วัด ทำฐานปิดทองประดับเพชรที่วัดพุทธโมกฯ ก่อนที่จะมีงานฉลองในปีหน้าต่อไป ซึ่งรายละเอียดต่างๆอาจารย์ก็จะได้แจ้งให้ทราบ แล้วก็งานบุญที่พวกเราได้ร่วมบุญกันก็คือถวายมหาสังฆทาน ในวันนี้ก็ได้ถวายไปทั้งหมด 19 ชุด เป็นมหาสังฆทานชุดละ 2,000 ซึ่งก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่ แล้วก็มีจำนวนที่ค่อนข้างสูงจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ที่วัดบางคนก็มากระซิบบอกว่า ตอนนี้ก็คณะเราก็ถือว่าถวายค่อนข้างจะเยอะที่สุดแล้วสำหรับที่บ้านสายลม และก็ให้เราทุกคนโมทนาบุญร่วมกันในสามัคคีธรรมตรงนี้ ได้ผลได้อานิสงส์ทุกอย่าง ใครจะทำจำนวนมากจำนวนน้อยเท่าไหร่ก็ให้ได้อานิสงส์เต็มทั้ง 19 ชุดเสมอกันทั้งหมด

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนสวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้